วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553
สัปดาห์ที่15 เรื่อง 12 วิธี เลือกซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างชาญฉลาด
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553
สัปดาห์ที่ 14 ฟลิป ฟลอป (Flip Flop)
Flip Flop เป็น Multivibrator ชนิด Bistable คือมี Output คงที่อยู่ 2 สภาวะ สำหรับ Output ทั้ง สองเราจะตั้งเงื่อนไขว่า Output หนึ่งจะเป็น Complement ของอีก Output หนึ่ง ในกรณีใด ๆ ก็ตาม หาก Output หนึ่งไม่เป็น Complement ของอีก Output หนึ่งแล้ว เราจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น Output ทั้งสองดังกล่าว จะยังคงอยู่ในสภาวะอันใดอันหนึ่ง จนกว่าจะมี Input pulse มากระตุ้นถึงจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะไป
เราใช้ Flip Flop กันอย่างกว้างขวางในอุปกรณ์ดิจิตอล ซึ่งในที่นี้เราจะกล่าวเฉพาะ Flip Flop ที่สร้างขึ้นมา จากวงจร Gate เท่านั้น วงจร Flip Flop ที่พบในอุปกรณ์ดิจิตอลนั้นมีหลายแบบด้วยกันดังนี้
- RS Flip Flop
- D Flip Flop
- T Flip Flop
- JK Flip FlopClock pulse
Clock pulse (CK) เป็นสัญญาณ Logic ที่ทำให้ Flip Flop แต่ละตัวมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะของ Logic ทาง Output ซึ่งมีรูปคลื่นและส่วนประกอบดังรูปที่ 1(ก)(ข)(ค)
(ค)รูปที่ 1 Clock pulse
รูปที่ 1 เป็นรูปคลื่นของ Clock pulse (CK) ซึ่งเขียนให้เห็นความชันทางด้านที่คลื่นเปลี่ยนสภาวะจาก 0V เป็น +5V หรือที่เรียกว่าขอบขาขึ้น (Leading edge) กับส่วนที่เปลี่ยนจาก +5V เป็น 0V หรือที่เรียกว่าขอบขา ลง (Trailing edge) แต่ในทางเป็นจริงแล้ว ทั้งขอบขาขึ้น และขอบขาลงใช้เวลาสั้นมากเมื่อเทียบกับความกว้างของ pulse ดังนั้นเรามักเห็นเป็นเส้นตั้งฉาก RS Flip Flop
RS Flip Flop จะมี 2 Input คือ Input R และ Input S แล้วมี 2 Output สัญลักษณ์ของ RS Flip Flop แสดงไว้ตามรูปที่ 2
รูปที่ 2 สัญลักษณ์ของ RS Flip Flop
การทำงานของ RS Flip Flop
กล่าวคือในสภาวะที่สัญญาณ Clock (CK) เป็น Logic 0 Output ของ RS Flip Flop จะไม่มีการเปลี่ยนสภาวะ แต่ถ้า สัญญาณ Clock (CK) เปลี่ยนจาก Logic 0 เป็น Logic 1 Output ของ RS Flip Flop จะเปลี่ยนสภาวะตาม Truth table ของ RS Flip Flop คือ เมื่อ Input R เป็น Logic 0 และ Input S เป็น Logic 0 Output ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้า Input R เป็น Logic 0 และ Input S เป็น Logic 1 Output จะมีค่เป็น Logic 1 ถ้า Input R เป็น Logic 1 และ Input S เป็น Logic 0 Output จะมีค่เป็น Logic 0 แต่ถ้า Input R เป็น 1 และ Input S เป็น 1 Output จะกำหนดไม่ได้
เป็นที่เข้าใจว่า Output จะมีการเปลี่ยนสภาวะตามเงื่อนไข RS Flip Flop เมื่อมีสัญญาณ Clock (CK) เป็น Logic 1 แต่เมื่อสัญญาณ Clock (CK) เป็น Logic 0 เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะของ Output ได้เลย แต่ในบางครั้ง เราจำเป็นต้องให้ Output Q เป็น Logic 0 หรือ Logic 1 โดยไม่ต้องรอ สัญญาณ Clock มากระตุ้น ดังนั้นเราจึงเพิ่มขา Clear (CLR) และ Preset (PR) เข้าไป เพื่อที่สามารถกำหนดค่าของ Output Q ได้ โดยการกำหนดดังนี้ ถ้าต้องการให้ Output Q เป็น Logic 1 โดยไม่สนใจว่าสภาวะเดิมเป็นอะไร เราจะให้ขา Preset (PR) เป็น Logic 1 ในทำนองกลับกันถ้าต้องการให้ Output Q เป็น Logic 1 โดยไม่สนใจว่าสภาวะเดิมเป็นอะไร เราจะให้ขา Clear (CLR) เป็น Logic 1 D Flip Flop
D Flip Flop จะมี 1 Input คือ Input D แล้วมี 2 Output สัญลักษณ์ของ D Flip Flop แสดงไว้ตามรูปที่ 5
รูปที่ 6 Truth table ของ D Flip Flop
การทำงานของ D Flip Flopกล่าวคือในสภาวะที่สัญญาณ Clock (CK) เป็น Logic 0 ค่าของ D จเป็น Logic 1หรือ Logic 0 ก็ตาม Output ของ D Flip Flop จะไม่มีการเปลี่ยนสภาวะ คือจะคงสภาวะตัวเดิม แต่ถ้า สัญญาณ Clock (CK) เปลี่ยนจาก Logic 0 เป็น Logic 1 Output ของ D Flip Flop จะเปลี่ยนสภาวะตาม Truth table ของ D Flip Flop คือ เมื่อ Input D เป็น Logic 0 Output จะมีค่าเป็น Logic 0 ถ้า Input D เป็น Logic 1 Output จะมีค่าเป็น Logic 1 T Flip Flop
T Flip Flop จะมี 1 Input คือ Input Clock (CK) แล้วมี 2 Output สัญลักษณ์ของ T Flip Flop แสดงไว้ตามรูปที่ 7
การทำงานของ T Flip Flop
ลักษณะการทำงานของ T Flip Flop คือ จะเปลี่ยนสภาวะทุกครั้งที่มี Clock pulse (CK) ป้อนเข้ามาที่ Clock Input เช่น ถ้า Flip Flop อยู่ในสภาวะ Logic 0 เมื่อมี Clock pulse ป้อนเข้ามา มันจะเปลี่ยนสภาวะเป็น Logic 1 และถ้า Clock pulse อันต่อไป ถูกป้อนเข้ามาอีก มันก็จะเปลี่ยนสภาวะจาก Logic 1 เป็น Logic 0 อีก หรืออาจกล่าวได้ว่า เมื่อมี Clock pulse เข้ามาที่ขา T จะทำให้ Output Q เปลี่ยนสภาวะเป็นสภาวะตรงกันข้าม JK Flip Flop
JK Flip Flop จะมี 2 Input คือ Input J และ Input K แล้วมี 2 Output สัญลักษณ์ของ JK Flip Flop แสดงไว้ตามรูปที่ 9
การทำงานของ JK Flip Flop
ลักษณะการทำงานของ JK Flip Flop มีลักษณะการทำงานเหมือนกับ RS Flip Flop แต่มีคุณลักษณธเพิ่มเติมจาก RS Flip Flop คือสามารถกำหนดสภาวะทาง Logic ของ Output ได้ค่า Input ทั้ง J และ K อยู่ในสภาวะ Logic 1 ทั้งคู่ กล่าวคือในสภาวะที่มีสัญญาณ Clock (CK) Input J เป็น 0 และ Input K เป็น 0 Output จะไม่เปลี่ยนแปลง ถ้า Input J เป็น 0 และ Input K เป็น 1 Output จะเป็น 0 ถ้า Input J เป็น 1 และ Input K เป็น 0 Output จะเป็น 1 แต่ถ้า Input J เป็น 1 และ Input K เป็น 1 Output จะเป็นเปลี่ยนสภาวะเป็นสภาวะตรงกันข้ามของสภาวะเดิม วงจรนับ (Counter)
วงจร Binaly Ripple counter
วงจรนับเป็นการประยุกต์ใช้งานของ Flip Flop โดยถือหลักการว่า Flip Flop 1 ตัว จะเป็นการนับได้ 2 (0 ถึง 1) คือสภาวะหนึ่งอาจจะเป็น 0 เมื่อมีการ Trigger อีกครั้งจะเป็น 1 สลับกันไปเช่นนี้ นั่นคือ Flip Flop 1 ตัว สามารถนับได้ 2 เลข คือ 0 กับ 1 ดังนั้นถ้า Flip Flop 2 ตัว ต่อกัน เช่น มี T Flip Flop 2ตัว โดยที่แต่ละตัวทำงาน เมื่อมีการ Trigger ที่ขอบขาลง ดังแสดงในรูปที่ 11
รูปที่ 11 วงจรนับ 4 โดยใช้ JK Flip Flop 2ตัว
รูปที่ 12 Truth table ของการนับ 4
การทำงานของวงจรนับ 4 โดยใช้ T Flip Flop 2ตัว
จากรูปที่ 12 เป็น JK Flip Flop 2ตัว ต่อในลักษณะขา CK ของตัวหลัง ต่อกับ Q ของตัวหน้า สมมุติว่า ขณะที่ QA และ QB เป็น 0 ทั้งคู่ เมื่อ Clock pulse ที่เข้ามา Clock Input เปลี่ยนระดับจาก 0 เป็น 1 JK Flip Flop ตัวแรก (JKB) ยังไม่มีการเปลี่ยนสภาวะ เพราะเป็นการ Trigger ที่ขอบขาขึ้น จนกระทั่งเมื่อ Clock pulse เปลี่ยนระดับจาก 1 เป็น 0 QB จะเปลี่ยนสภาวะเป็นหนึ่ง ถึงแม้ JKA จะต่ออยู่กับ QB ก็ตาม แต่ Flip Flop ตัวหลังไม่ทำงานเพราะเป็นขอบขาขึ้น ซึ่งมันจะสนใจเฉพาะขอบขาลงเท่านั้น หลังจาก Clock pulse ลูกแรกผ่านไป ขณะนี้ QB เป็น 1 ในขณะที่ QA เป็น 0 คือเลข (01)2 หรือเลข (1)10 นั่นเอง ต่อมาเมื่อ Clock pulse ลูกที่สองผ่านไป QB จะเปลี่ยนจาก 1 เป็น 0 ในขณะที่ Clock pulse เปลี่ยนสภาวะที่ขอบขาลง เมื่อ QB เปลี่ยน สภาวะจาก 1 เป็น 0 QA จะเปลี่ยนสภาวะจาก 0 เป็น 1 บ้าง เพราะ JKA ได้รับการ Trigger ที่ขอบขาลงของ QB นั่นเอง ในขณะที่ QA เป็น 1 และ QB เป็น 0 คือเลข (10)2 หรือ (2)10 เมื่อ Clock pulse ลูกที่สามผ่านไป QB จะเปลี่ยนกลับเป็นสภาวะ 1 ใหม่ แต่ QA ไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจาก TA ได้รับการ Trigger ที่ขอบขาขึ้น ซึ่งก็คือ QA = 1 และ QB = 1 คือเลข(11)2 หรือ (3)10 จนกระทั่ง Clock pulse ลูกที่สี่ผ่านไป QB เปลี่ยนกลับมาเป็นสภาวะ 0 ใหม่ ทำให้ QA เปลี่ยนกลับมาเป็นสภาวะ 0 ด้วย การทำงานจะเห็นได้ชัดจาก ตารางการนับ ในรูปที่ 12
วงจรนับถอยหลัง
วงจรข้างต้นเป็นการนับจำนวนเลขฐานสองของ Input Clock pulse ที่เริ่มจากน้อยไปมาก จนกระทั่งนับเต็มที่ แล้วจึงกลับมาเริ่มต้นนับที่ 0 ใหม่ จงสังเกตุดูว่า ในขณะที่เราสนใจ QA และ QB อยู่นั้น A และ B ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ในขณะที่ QA และ QB เป็น (00)2 หรือ (2)10 A และ ก็ต้องเป็น (11)2 หรือ (3)10 ด้วย ถ้า Input Clock pulse ผ่านไป 1 ลูก Output ก็จะเป็น (01)2 หรือ (1)10 ซึ่ง Output Complement ก็จะเป็น (10)2 หรือ (2)10 จะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง Output เป็น (11)2 Output Complement ก็จะเป็น (00)2 แล้วจึงเริ่มต้นใหม่ นั่นคือ ถ้าต้องการให้เป็นวงจรนับ ถอยหลังก็นำ Output Complement A และ B มาใช้
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553
สัปดาห์ที่ 13 การออกแบบวงจรนับแบบเข้าจังหวะโดยใช้ เจเค ฟลิบฟลอบ
1. พิจารณาว่าต้องใช้ฟลิบฟลอบกี่ตัว ซึ่งจำนวนของฟลิบฟลอบจะขึ้นอยู่กับจำนวนบิตที่ต้องการจะนับ ในตัวอย่างนี้ต้องการออกแบบวงจรนับขึ้นแบบไบนารีขนาด 3 บิต โดยเริ่มนับตั้งแต่ 000 ถึง 101 นั่นหมายความว่าต้องใช้ฟลิบฟลอบจำนวน 3 ตัว
วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553
สัปดาห์ที่12 เวนน์ไดอะแกรม (Venn Diagram)
Venn Diagram จะประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมแสดงเป็นขอบเขตและภายในกรอบสี่เหลี่ยมจะเขียนวงกลมต่าง ๆ วงกลมแต่ละวงจะแทนตัวแปรต่าง ๆ ที่อยู่ในฟังก์ชัน
ก) มีพื้นที่แลเงาทั้งสี่เหลี่ยม ใช้แทนลอจิก “1”
2. เกี่ยวกับตัวแปรใด ๆ A และการกระทำของ “NOT” บนตัวแปร
ก) มีพื้นที่แลเงาอยู่ในวงกลม A ใช้แทนตัวแปร “A”
ข) มีพื้นที่แลเงาอยู่นอกวงกลม A ซึ่งแสดงว่าไม่ใช้ A ใช้แทนด้วย “A”
3. เกี่ยวกับการกระทำ “AND” และการกระทำ “OR” ของตัวแปรใด ๆ A และ B
ก) เมื่อ A “AND” B ผลที่ได้ในรูปของ Venn Diagram คือ มีพื้นที่แลเงาที่อยู่ในส่วนของวงกลม A และ วงกลม B เฉพาะส่วนที่ซ้อนกันเท่านั้น
ตัวอย่างของ F = A×B
1 คือ A × B 1 คือ A × B ×C
2 คือ A × B 2 คือ A × B ×C
3 คือ A × B 3 คือ A × B ×C
4 คือ A × B ×C
5 คือ A × B ×C
6 คือ A × B ×C
7 คือ A × B ×C
วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2553
สัปดาห์ที่ 11 การต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ประโยชน์
2. การต่อวงจรไดโอดเปล่งแสง การต่อไดโอดเปล่งแสงในวงจรอิเล็กทรอนิกส์จะต้องต่อตัวต้านทานไว้ในวงจรด้วย เนื่องจากกระแสไฟฟ้าเล็กน้อยก็ทำให้ไดโอดเปล่งแสงทำงานได้ ดังนั้นจึงต้องต่อตัวต้านทานไว้ในวงจรด้วยเพื่อลดปริมาณกระแสไฟฟ้าให้ไหลผ่านไดโอดในปริมาณที่พอเหมาะ
3. การต่อวงจรทรานซิสเตอร์ การที่จะทำให้ทรานซิสเตอร์ ทำงานได้ต้องจ่ายไฟให้ที่ขาเบส (B) ซึ่งเป็นขาที่มีหน้าที่ในการควบคุมกระแสไฟฟ้าที่จะไหลจากขาคอลเลกเตอร์ไปสู่ขาอิมิตเตอร์ กล่าวคือหากให้กระแสไหลที่ขาเบสมาก จะทำให้กระแสไหลผ่านขาคอลเลกเตอร์ไปสู่ขาอิมิตเตอร์มาก แต่ถ้าให้กระแสไหลที่ขาเบสน้อย กระแสที่จะไหลผ่านขาคอลเลกเตอร์ไปสู่ขาอิมิตเตอร์น้อยลงไปด้วย ดังนั้นด้วยหลักการทำงานของทรานซิสเตอร์นี้ ก็จะสามารถนำทรานซิสเตอร์ไปประกอบในวงจรต่างๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะในวงจรที่ต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าในวงจร
รูปแสดงทรานซิสเตอร์
การประกอบวงจรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ต้องรู้จักเครื่องมือที่จะใช้เป็นอย่างดีและรู้วิธีการบัดกรี เช่น การใช้หัวแร้ง การใช้ตะกั่วบัดกรี ตลอดจนเทคนิคต่างๆ ที่ใช้ในการบัดกรีด้วยเพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาดในการต่อวงจร
สัปดาห์ที่ 10 สัญญาณพัลส์และพารามิเตอร์
1. ความรู้พื้นฐานของสัญญาณพัลส์
1. 1 ชนิดของรูปคลื่น
1.1 .1 รูปคลื่นซายน์ (Sinusoidal)
เป็นรูปสัญญาณทางไฟฟ้าที่พบเห็นมากในการทดลอง ซึ่งจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ ครึ่งคลื่น( Half Wave ) และเต็มคลื่น (Full Wave) ดังแสดงในรูป
(ก) รูปคลื่นซายน์แบบครึ่งคลื่น ( Half Wave )
(ข) รูปคลื่นซายน์แบบเต็มคลื่น ( Full Wave )
คลื่นสี่เหลี่ยมเกิดจากระดับของแรงดันไฟตรง ที่เปลี่ยนแปลงเป็นขั้น ( Step Changes) หรือรูปคลื่นขั้นบันไดสองลักษณะคือ Positive -going Step และ Negative - going Step ดังรูปที่ 1.2 (ก) รูปคลื่นสี่เหลี่ยมที่มีการเปลี่ยนแปลงคาบเวลาด้านบวกของสัญญาณ (t1) และคาบเวลาด้านลบ (t2) เท่ากันเราเรียกว่ารูปคลื่นจัตุรัส ( Square Wave ) ดังแสดงในรูป 1.2 (ข) ถ้ารูปคลื่นสี่เหลี่ยมที่มีการเปลี่ยนแปลงคาบเวลาด้านบวกของสัญญาณ (t1) และคาบเวลาด้านลบ (t2) ไม่เท่ากันเราเรียกรูปคลื่นนี้ว่า รูปคลื่นพัลส์ ( Pulse Waveforms ) ดังแสดงในรูป
ค.
สัปดาห์ที่ 9 ทดลองวงจรดิจิตอล กับไอซี TTL ด้วย WinBredboard
สัปดาห์ที่ 8การแปลงสัญญาณ A/D และ D/A
การแปลงสัญญาณ A/D และ D/A
การสื่อสารข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ สามารถสื่อสารข้อมูลได้ทุกประเภท ประกอบด้วย เสียง (Voice) อักขระข้อความ (Text), ภาพ (Image) และข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Data) ซึ่งแต่ละข้อมูล มีลักษณะเฉพาะของสัญญาณที่แตกต่างกัน แบ่งการกระทำของข้อมูลดังนี้
1. Analog Computer
สัญญาณอนาลอกคือ สัญญาณข้อมูลแบบต่อเนื่อง (Continuouse Data) มีขนาดของสัญญาณไม่คงที่ การเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไปแปรผันตามเวลา เป็นสัญญาณที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ เช่น แรงดันของน้ำ
2.Digital Computer
สัญญาณดิจิตัล คือ สัญญาณข้อมูลแบบไม่ต่อเนื่อง (Discrete Data) มีขนาดของสัญญาณคงที่ การเปลี่ยนแปลงขนาดของสัญญาณเป็นแบบทันที ทันใด ไม่แปรผันตามเวลา เป็นสัญญาณที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ เช่น สัญญาณไฟฟ้า
ความสัมพันธ์ของสัญญาณอะนาลอก ดิจิตอล และตัวแปลงสัญญาณ
สัญญาอะนาลอก (Analog) และสัญญาณดิจิตอล (Digital)ทั้งสองสัญญาณ เกี่ยวข้องกับตัวแปลงสัญญาณ (Transducer)การเชื่อมต่อระบบอนาลอกเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จะต้องมีตัวกลางใน การแปลงเปลี่ยนจากAnalogให้เป็นสัญญาณทางอิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า“ทรานส์ดิวเซอร์”(Transducer) การแปลงสัญญาณกลับไปกลับมาระหว่างสัญญาณ Analog และ Digital อาศัย "ตัวเปลี่ยนสัญญาณข้อมูล Converter"
การแปลงสัญญาณมี 2 วิธีคือ
1 การแปลงสัญญาณอนาลอกเป็นสัญญาณดิจิตอล
2 การแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณอนาลอก
การแปลงสัญญาณอนาลอกเป็นสัญญาณดิจิตอล
Analog to Digital Converter (A/D)ทำหน้าที่แปลงสัญญาณข้อมูลที่มนุษย์รับรู้ สัมผัสได้ เป็นข้อมูลทางไฟฟ้า เพื่อป้อนเข้าสู่การประมวลผล จึงเป็นขบวนการหนึ่งของการรับข้อมูล (Input Unit)เป็นกระบวนการอีเลคโทรนิคส์ ที่สัญญาแปรผันต่อเนื่อง (analog) ได้รับการแปลงให้เป็นสัญญาณดิจิตอล โดยไม่มีการลบข้อมูลสำคัญผลลัพธ์ของ ADC มีลักษณะตรงข้าม คือ กำหนดระดับหรือสถานะ ตัวเลขของสถานะมักจะเป็นการยกกำลังของ 2 คือ 2, 4, 8, 16 เป็นต้น สัญญาณดิจิตอลพื้นฐานมี 2 สถานะและเรียกว่า binary ตัวเลขทั้งหมดสามารถแสดงในรูปของไบนารี ในฐานะข้อความของ หนึ่งและศูนย์
วงจรที่ใช้ในการแปลงสัญญาณอนาลอกเป็นดิจิตอลมีมากมายหลายชนิด โดยทั่วไปแล้ววงจรแปลงสัญญาณอนาลอกเป็นดิจิตอล (A/D converters) มีใช้งานอยู่ประมาณ 7 ชนิดคือ
1 Parallel Comparator, Simultaneous, หรือ Flash A/D converter
2 Single – Ramp หรือ Single – Slope A/D converter
3 Dual – Slope A/D converter
4 Charge balance A/D converter
5 A/D converters using Counters and D/A converters
6 Tracking A/D converters
7 Successive – Approximation A/D converters
การแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณอนาลอก
Digital to Analog Converter (D/A) ทำหน้าที่แปลงข้อมูลผลลัพธ์จากการประมวลผลเป็นสัญญาณไฟฟ้า ให้เป็นสัญญาณที่มนุษย์รับรู้ได้ สัมผัสได้ เป็นการแสดงผลข้อมูล (Output Unit)digital-to-analog conversion เป็นกระบวนการซึ่งสัญญาณมีการกำหนดระดับ หรือสถานะจำนวนหนึ่ง ( ปกติ คือ 2 สถานะ) หรือสัญญาณดิจิตอล ให้เป็นสัญญาณที่ไม่จำกัดจำนวนของสถานะ หรือสัญญาณอนาลอก ตัวอย่าง กระบวนการของโมเด็มในการแปลงข้อมูลคอมพิวเตอร์ เป็นความถี่เสียง ให้สามารถส่งผ่านสายโทรศัพท์ twisted pair ในวงจรที่ทำงานให้กับฟังก์ชันนี้ เรียกว่า digital-to-analog converter (DAC) โดยพื้นฐาน digital-to-analog conversion ตรงข้ามกับ analog-to-analog conversion ถ้า analog-to-analog converter (ADC) วางอยู่ในวงจรการสื่อสารต่อจาก DAC สัญญาณดิจิตอลส่งออก จะตรงกับสัญญาณดิจิตอลนำเข้า ในกรณีที่ DAC วางอยู่ในวงจรต่อจาก ADC สัญญาณอะนาล๊อกส่งออกจะเป็นตรงกับสัญญาณอะนาล๊อกนำเข้าสัญญาณดิจิตอล แบบ binary จะปรากฏเป็นข้อความขนาดยาว ของ 1 และ 0 ซึ่งจะไม่มีความหมายต่อการอ่าน แต่เมื่อ DAC ใช้ถอดรหัสสัญญาณดิจิตอลแบบ binary จึงปรากฏผลลัพธ์ที่มีความหมาย ซึ่งอาจจะเป็น เสียง ภาพ เสียงดนตรี และกลไกการเคลื่อน
วงจรแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณอนาลอกมี 2 ลักษณะดังนี้
1 แบบรวมกระแส (weighted -resistor)
2 โครงข่ายแบบ R-2R (R-2R network)
แบบรวมกระแส (weighted -resistor)
คุณลักษณะของ D/A แบบรวมกระแส
1จะต้องมีตัวต้านทานทุกอินพุทของสัญญาณดิจิตอล
2ตัวต้านทานนี้อินพุทของทุกบิทจะมีค่าเท่ากับเอาต์พุตของระดับดิจิตอลสูงสุด
3แรงเคลื่อนที่เอาต์พุตเต็มสเกลจะมีค่าเท่ากับเอาต์พุตของระดับดิจิตอลสูงสุด
4LSB จะมีน้ำหนักเป็น1/(2n-1) เมื่อ n เป็นจำนวนบิทที่อินพุท
5เมื่อ LSB เปลี่ยนแปลงแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่เอาต์พุตจะเปลี่ยนไป 1/(2n-1) เมื่อ V เป็นระดับสัญญาณดิจิตอล
โครงข่ายแบบ R-2R (R-2R network)
สัปดาห์ที่ 7ไฟฟ้ากระแส
ก. ไฟฟ้ากระแสตรงแบบราบเรียบ (Pure DC) เป็นไฟฟ้ากระแสตรงที่ขนาดคงที่สม่ำเสมอ ได้จาก แบตเตอรี่ เซลล์ไฟฟ้า เป็นต้น